เคอร์ลิง เป็นกีฬาที่คนไทยส่วนมากไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อน แม้ว่ามันจะถูกบรรจุให้เป็นหนึ่งในกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาว และถูกถ่ายทอดไปทั่วโลก แถมยังวางเดิมพันได้เสียด้วย สาเหตุเพราะมันเป็นกีฬาฤดูหนาวที่เล่นบนลานน้ำแข็ง นิยมเล่นกันในเขตซีกโลกเหนือเท่านั้น รวมถึงตัวเกมที่ค่อนข้างเรียบเพราะไม่มีการปะทะระหว่างผู้เล่น มันจึงค่อนข้างจะเข้าถึงยากกว่ากีฬาอย่าง ฮอกกี้ ลักษณะการเล่นของเคอร์ลิงคือ ผู้เล่นจะทำการไถลก้อนหินแกรนิตให้เข้าใกล้เป้าหมายที่กำหนดไว้ให้มากที่สุด ในเกมเป็นการแข่งขันกันระหว่างสองทีม ในทีมจะประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คน ผลัดกันส่งก้อนหินไถลไปบนลานน้ำแข็ง ให้เข้าใกล้เส้นวงกลม แต่ละทีมครอบครองหินแปดก้อน และผู้เล่นหนึ่งคนจะโยนหินได้สองก้อนเท่านั้น เป้าหมายของเกมนี้ก็คือ เก็บรวบรวมแต้มให้ได้มากที่สุด โดยแต้มนับได้จากตำแหน่งของก้อนหิน ว่าเข้าใกล้จุดศูนย์กลางของวงกลมมากขนาดไหน หลังผู้เล่นทุกคนได้โยนหินจนครบจึงจะถือว่าจบเกม ผู้เล่นสามารถควบคุมการไถลของก้อนหินได้โดยใช้แปรงขัดกับพื้นผิวของลานน้ำแข็ง ฟังดูแล้วช่างคล้ายคลึงกับการเล่นเปตองเหลือเกิน ต่างกันเพียงสภาพแวดล้อมล้อม และอุปกรณ์ที่ใช้เล่นเท่านั้น
เคอร์ลิง เก่า…แต่ก็ยังใหม่
เคอร์ลิงมีจุดกำเนิดที่สกอตแลนด์ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 ก้อนหินที่ใช้ในการเล่นถูกค้นพบในบ่อน้ำเก่าแก่ในสกอตแลนด์ หินก้อนนั้นถูกเก็บรักษาไว้ในผลิตภัณฑ์เดียวกันกับลูกฟุตบอลที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
แม้เคอร์ลิงจะมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน แต่กีฬานี้ไม่ได้รับความสนใจมากนักจากคนทั่วไป กว่ามันจะถูกบรรจุให้อยู่ในรายการโอลิมปิคฤดูหนาวก็เป็นปี 1924 เข้าไปแล้ว หนำซ้ำผลการแข่งขันที่ถูกบันทึกยังไม่ถูกนับเป็นทางการจนกระทั่งปี 2002 ในตอนแรกการแข่งขันถูกแบ่งออกเป็นประเภทชาย-หญิง จนมาในปี 2018 ประเภทผสมชาย-หญิงจึงถูกเพิ่มเข้าไปในการแข่งขัน
จิตวิญญาณแห่งเคอร์ลิง
หรือเรียกเป็นภาษาทั่วไปว่า น้ำใจนักกีฬา เป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมการเล่นเคอร์ลิง ที่สืบต่อกันมานาน ประเพณีต่าง ๆ เป็นตัวช่วยให้การแข่งขันเป็นไปอย่างเรียบร้อย ช่วยรักษาบรรยากาศที่ดีของเกมไว้ และยังนับว่าเป็นการสอนมารยาทแก่ผู้เล่นอีกด้วย การแข่งขันเริ่มต้นด้วยผู้เล่นจากทั้งสองทีมจับมือกัน ในขณะที่การแข่งขันดำเนินอยู่ ผู้เล่นจะชื่นชมที่ฝ่ายตรงข้ามเมื่อพวกเขาทำผลงานได้ดี ไม่เย้าแหย่เมื่ออีกฝ่ายทำพลาด และถ่อมตนไม่ยกยอฝั่งตัวเองจนออกนอกหน้า การยอมแพ้ในกรณีที่ทีมตกลงกันแล้วว่าไม่เห็นทางชนะนั้นนับว่าเป็นการกระทำที่มีเกียรติ โดยไม่มีการถืออคติใด ๆ ต่อทีมนั้น ๆ อีกทั้งหากยังดึงดันเล่นต่อจะถือว่าเป็นการเสียมารยาท เมื่อจบการแข่งขันแล้ว ผู้แพ้จะต้องเป็นฝ่ายขอจับมือทีมตรงข้าม พูดขอบคุณ แล้วสวมกอดกันอย่างเป็นมิตร เป็นเรื่องปกติที่ทีมผู้ชนะจะเลี้ยงเครื่องดื่มให้กับทีมผู้แพ้ เรียกได้ว่าวิน ๆ กันทั้งสองฝ่าย